Introduction: การเทรดต่างจากการพนันอย่างไร?

เรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่าการพนันแท้จริงแล้วคืออะไร โดยย่อการพนันคือ “การเสี่ยงโชค” ที่ผู้เล่นวางเงินเดิมพันโดยหวังที่จะได้เงินตอบแทนจากการคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต หากเราพูดถึงเรื่องการพนันหลายคนคงจะนึกถึงเมืองแห่งการพนันอย่างเมือง Las Vegas ที่นั่นมีการพนันกันหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น Roulette, Poker, Slot machine, หรือ Blackjack โดยกติกาการพนันก็จะแตกต่างกันไป แต่ก็ใช่ว่าการพนันทุกชนิดจะมีหลักความน่าจะเป็นที่คล้ายกัน ยกตัวอย่างง่ายๆผ่านการเปรียบเทียบการพนัน 2 ชนิดซึ่งเป็นที่นิยมมากที่สุด คือ Roulette และ Poker


pexels-aidan-howe-4677402.jpg

Roulette

เป็นการพนันที่เป็นที่รู้จักกันมาก และกติกาการเล่นนั้นง่ายต่อความเข้าใจ ในการเล่นผู้เล่นต้องวางเงินพนันว่าลูกบอลที่เจ้ามือหมุนในกระดานจะไปตกลงที่เลข หรือ สีอะไร โดยในกระดานมีช่องที่มีเลขทั้งหมด 38 ช่องดังนี้

  • ช่องสีแดง 18 ช่อง

  • ช่องสีดำ 18 ช่อง

  • ช่องเลข “0” 1 ช่อง

  • ช่องเลข “00” 1 ช่อง

การวางเงินพนันมีหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น วางบนสี ชุดตัวเลข เลขคู่ เลขคี่ หรือเลขตัวเดียว ซึ่งเงินรางวัลของการวางแต่ละรูปแบบก็แตกต่างกัน เมื่อพิจารณาหลักความน่าจะเป็น หากเราเลือกวางเงินพนันบนสีดำและลูกบอลตกบนช่องสีดำเราจะได้เงินรางวัลเพิ่ม 1 เท่าจากเงินพนันเริ่มต้น แต่หากลูกบอลตกบนช่องสีแดงผู้เล่นต้องเสียเงินพนัน

Untitled WM.png

หลายคนคิดว่าการพนันแบบนี้ยุติธรรมเพราะกระดาน Roulette มีช่องสีดำและสีแดงอย่างละครึ่ง แต่หากพิจารณาให้ดีจะเห็นว่าในกระดานมีเลข “0” และ “00” ด้วย ไม่ว่าผู้เล่นเลือกวางเงินบนสีใด หากลูกบอลตกบนช่อง “0” หรือ “00” ผู้เล่นก็เสียเงินพนันอยู่ดี เมื่อคำนวนด้วยสมการความน่าจะเป็นผลตอบแทนในระยะยาวจะเป็นลบ อีกทั้งผู้เล่นไม่สามารถเพิ่มโอกาสในการชนะพนันได้ เนื่องจากจำนวนช่องในกระดานนั้นตายตัว และเจ้ามือเป็นคนเดียวที่หมุนลูกบอลได้ หมายความว่าในระยะยาวผู้เล่นไม่สามารถทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง นี่คือ “การพนันที่แท้จริง”


Poker

ในการเล่น Poker ผู้เล่นแต่ละคนจะได้ไพ่สองใบเพื่อนำไปรวมกับไพ่กองกลาง 5 ใบให้ได้ไพ่ลำดับสูงสุด โดยผู้เล่นสามารถวางเงินพนัน (Call) เกทับเงินพนัน (Raise) หรือ เช็ค (Check) เพื่อหลอกล่อผู้อื่นให้เข้าใจว่าผู้เล่นมีไพ่สูงกว่า หากคิดว่าไพ่ไม่สูงพอก็มีสิทธิ์หมอบไพ่เพื่อประหยัดเงินพนัน ผู้เล่นที่มีไพ่สูงที่สุดหรือผู้เล่นคนสุดท้ายที่ไม่ได้หมอบไพ่จะได้เงินกองกลางทั้งหมดไป

Poker เป็นการพนันที่ต้องใช้ทักษะในการเล่นอย่างมาก เนื่องจากไม่มีใครเห็นไพ่ของผู้เล่นอื่น ผู้เล่นต้องใช้จิตวิทยาในการ หลอกล่อ อ่านใจ คำนวณความน่าจะเป็น และการบริหารความเสี่ยง เพื่อให้ได้เงินกองกลางไปครอง และถึงแม้ว่าไพ่ของผู้เล่นจะไม่สูง หากหลอกให้ผู้เล่นอื่นทั้งหมดหมอบไพ่ได้ผู้เล่นก็สามารถชนะการพนันได้

ดังที่ Daniel Negreanu แชมป์ World Series of Poker 6 สมัยได้กล่าวเอาไว้ว่า:

“Poker is an intellectual endeavor that is totally skill-based in the long run. A lot of people can confuse themselves into thinking that they're losing because of luck when it's actually skill.”

-Daniel Negreanu (6X World Series of Poker Champion)

เราจะเห็นได้ว่า Poker ไม่ได้มีลักษณะเป็น “การพนันที่แท้จริง” เนื่องจากผู้เล่นสามารถใช้ทักษะและไหวพริบเพิ่มโอกาสชนะได้ Poker จึงเป็นเกมแห่งทักษะที่อาศัยความน่าจะเป็นในการเล่น ต่างจาก Roulette ที่ทักษะของผู้เล่นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับผลลัพธ์ของเกมแม้แต่น้อย หลายคนเข้าใจว่า Poker เป็นการพนันที่ไม่มีทางจะกำไรได้อย่างต่อเนื่องในระยะยาว แต่หากผู้เล่นมีทักษะและความเข้าใจในเกมนี้มากพอ Poker จะเป็นหนึ่งในเกมที่ผู้เล่นสามารถชนะเจ้ามือและทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง


Trading

การเทรดหลักทรัพย์ มีลักษณะบางประการคล้ายกับการเล่น Poker ไม่ว่าจะเป็นการบริหารความเสี่ยง ผลลัพธ์ที่มีพื้นฐานบนความน่าจะเป็น และการใช้จิตวิทยาเพื่อเข้าใจอารมณ์ของนักลงทุน หลายคนเปรียบการเทรดว่าเป็นการพนันรูปแบบหนึ่ง เป็นการเลือกลงทุนที่ไม่อาจคาดเดาผลลัพธ์ที่แน่นนอนได้

สิ่งที่ทำให้ “การเทรด” ต่างจาก “การพนัน”โดยสิ้งเชิงคือข้อมูลจากตลาดที่นักลงทุนสามารถใช้ในการคาดการณ์การเคลื่อนที่ของราคาหลักทรัพย์บนหลักความน่าจะเป็นที่สูง ยกตัวอย่างเช่น

  • ราคา (Price)

  • ปริมาณการซื้อขาย (Volume)

  • จำนวนหุ้นที่นักลงทุนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ (Free Float)

  • ส่วนต่างราคาซื้อขาย (Spread)

The Market Discounts Everything
— Charles H. Dow (Founder of Dow Theory)

ข้อมูลจากตลาดก็เปรียบได้กับการเล่น Poker ที่ผู้เล่นอื่นจะเปิดไพ่ให้ดู 1 ใบ เพราะข้อมูลจากตลาดเหล่านี้เป็นผลโดยตรงจากการซื้อขายบนความเชื่อของนักลงทุนรายใหญ่ที่มีความสามารถในการควบคุมราคาหลักทรัพย์

Charles H. Dow ผู้คิดค้นดัชนีดาวโจนส์ (DJIA) เป็นนักลงทุนรายแรกๆที่เลือกลงทุนบนพื้นฐานการวิเคราะห์ข้อมูลทางเทคนิค ได้คิดค้นทฤษฏีการอ่านตลาดที่มีชื่อว่า Dow Theory ชึ้น โดยมีใจความสำคัญว่า “ราคาตลาดสะท้อนข้อมูลทุกอย่าง” และ “ราคามีการเคลื่อนไหวที่เป็นแนวโน้ม” ดังนั้นหากนักลงทุนสามารถตีความข้อมูลเพื่อหาแนวโน้มตลาดได้อย่างถูกต้องก็สามารถลดความเสี่ยงและเพิ่มการทำกำไรบนแนวโน้มของราคาหลักทรัพย์ได้ การเทรดจึงเป็นศาสตร์แห่งการตีความข้อมูลเพื่อทำกำไร ไม่ใช่การเดาสุ่มทิศทางราคาหลักทรัพย์

อย่างไรก็ตามผู้คนมักมอง “การเทรด” เป็น “การพนันที่แท้จริง” เหมือน Roulette ทำให้มีทัศนคติแบบ “ได้กำไรก็โชคดี ขาดทุนก็โชคร้าย” จึงขาดวินัยในการตัดขาดทุน (แนวคิดประเภทไม่ขายไม่ขาดทุน) ปริมาณขาดทุนจึงยิ่งทวีคูณขึ้น และขาดโอกาสในการทำกำไรจากตลาด ซึ่งถ้าหากนักลงทุนหมั่นฝึกฝนทักษะและเรียนรู้วิธีในการตีความข้อมูลตลาดอย่างถูกต้องก็สามารถทำกำไรจากตลาดได้อย่างต่อเนื่อง ดังที่ Jesse Livermore นักลงทุนมืออาชีพได้กล่าวไว้ว่า “ในตลาดไม่มีอะไรใหม่ อะไรที่เคยเกิดขึ้นแล้วจะเกิดขึ้นอีก” การเทรดจึงไม่ใช่เรื่องของโชค หากแต่เป็นเรื่องของการเรียนรู้ การฝึกทักษะการวิเคราะห์ตลาด

There is nothing new in Wall Street. There can’t be because speculation is as old as the hills. Whatever happens in the stock market today has happened before and will happen again.
— Jesse Livermore ( Legendary Trader )

ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดของนักลงทุนคือการยอมรับว่ากำไรขาดทุนนั้นคือผลลัพธ์จากทักษะและความสามารถในการวิเคราะห์ตลาดของนักลงทุนเอง โดยไม่โยนความผิดทั้งหมดไปที่ความผันผวนของตลาด นักลงทุนจึงต้องหมั่นเรียนรู้และฝึกฝนกลยุทธ์ในการวิเคราะห์แนวโน้มจากตลาดอยู่เสมอเพื่อพัฒนาทักษะในการลงทุนให้สูงขึ้นจนสามารถทำกำไรจากตลาดได้อย่างต่อเนื่องในระยะยาว

Dry+Cut+Portrait+small.jpg

ธวัชชัย ชนะเศรษฐกุล

เทรดเดอร์อิสระ

 

Social Links

 

Recent Posts

Previous
Previous

Chapter 1 : ทำไมควรวิเคราะห์ Price Action ก่อน Indicator