Introduction: การเทรดต่างจากการพนันอย่างไร?
เรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่าการพนันแท้จริงแล้วคืออะไร โดยย่อการพนันคือ “การเสี่ยงโชค” ที่ผู้เล่นวางเงินเดิมพันโดยหวังที่จะได้เงินตอบแทนจากการคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต หากเราพูดถึงเรื่องการพนันหลายคนคงจะนึกถึงเมืองแห่งการพนันอย่างเมือง Las Vegas ที่นั่นมีการพนันกันหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น Roulette, Poker, Slot machine, หรือ Blackjack โดยกติกาการพนันก็จะแตกต่างกันไป แต่ก็ใช่ว่าการพนันทุกชนิดจะมีหลักความน่าจะเป็นที่คล้ายกัน ยกตัวอย่างง่ายๆผ่านการเปรียบเทียบการพนัน 2 ชนิดซึ่งเป็นที่นิยมมากที่สุด คือ Roulette และ Poker
Roulette
เป็นการพนันที่เป็นที่รู้จักกันมาก และกติกาการเล่นนั้นง่ายต่อความเข้าใจ ในการเล่นผู้เล่นต้องวางเงินพนันว่าลูกบอลที่เจ้ามือหมุนในกระดานจะไปตกลงที่เลข หรือ สีอะไร โดยในกระดานมีช่องที่มีเลขทั้งหมด 38 ช่องดังนี้
ช่องสีแดง 18 ช่อง
ช่องสีดำ 18 ช่อง
ช่องเลข “0” 1 ช่อง
ช่องเลข “00” 1 ช่อง
การวางเงินพนันมีหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น วางบนสี ชุดตัวเลข เลขคู่ เลขคี่ หรือเลขตัวเดียว ซึ่งเงินรางวัลของการวางแต่ละรูปแบบก็แตกต่างกัน เมื่อพิจารณาหลักความน่าจะเป็น หากเราเลือกวางเงินพนันบนสีดำและลูกบอลตกบนช่องสีดำเราจะได้เงินรางวัลเพิ่ม 1 เท่าจากเงินพนันเริ่มต้น แต่หากลูกบอลตกบนช่องสีแดงผู้เล่นต้องเสียเงินพนัน
หลายคนคิดว่าการพนันแบบนี้ยุติธรรมเพราะกระดาน Roulette มีช่องสีดำและสีแดงอย่างละครึ่ง แต่หากพิจารณาให้ดีจะเห็นว่าในกระดานมีเลข “0” และ “00” ด้วย ไม่ว่าผู้เล่นเลือกวางเงินบนสีใด หากลูกบอลตกบนช่อง “0” หรือ “00” ผู้เล่นก็เสียเงินพนันอยู่ดี เมื่อคำนวนด้วยสมการความน่าจะเป็นผลตอบแทนในระยะยาวจะเป็นลบ อีกทั้งผู้เล่นไม่สามารถเพิ่มโอกาสในการชนะพนันได้ เนื่องจากจำนวนช่องในกระดานนั้นตายตัว และเจ้ามือเป็นคนเดียวที่หมุนลูกบอลได้ หมายความว่าในระยะยาวผู้เล่นไม่สามารถทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง นี่คือ “การพนันที่แท้จริง”
Poker
ในการเล่น Poker ผู้เล่นแต่ละคนจะได้ไพ่สองใบเพื่อนำไปรวมกับไพ่กองกลาง 5 ใบให้ได้ไพ่ลำดับสูงสุด โดยผู้เล่นสามารถวางเงินพนัน (Call) เกทับเงินพนัน (Raise) หรือ เช็ค (Check) เพื่อหลอกล่อผู้อื่นให้เข้าใจว่าผู้เล่นมีไพ่สูงกว่า หากคิดว่าไพ่ไม่สูงพอก็มีสิทธิ์หมอบไพ่เพื่อประหยัดเงินพนัน ผู้เล่นที่มีไพ่สูงที่สุดหรือผู้เล่นคนสุดท้ายที่ไม่ได้หมอบไพ่จะได้เงินกองกลางทั้งหมดไป
Poker เป็นการพนันที่ต้องใช้ทักษะในการเล่นอย่างมาก เนื่องจากไม่มีใครเห็นไพ่ของผู้เล่นอื่น ผู้เล่นต้องใช้จิตวิทยาในการ หลอกล่อ อ่านใจ คำนวณความน่าจะเป็น และการบริหารความเสี่ยง เพื่อให้ได้เงินกองกลางไปครอง และถึงแม้ว่าไพ่ของผู้เล่นจะไม่สูง หากหลอกให้ผู้เล่นอื่นทั้งหมดหมอบไพ่ได้ผู้เล่นก็สามารถชนะการพนันได้
ดังที่ Daniel Negreanu แชมป์ World Series of Poker 6 สมัยได้กล่าวเอาไว้ว่า:
“Poker is an intellectual endeavor that is totally skill-based in the long run. A lot of people can confuse themselves into thinking that they're losing because of luck when it's actually skill.”
-Daniel Negreanu (6X World Series of Poker Champion)
เราจะเห็นได้ว่า Poker ไม่ได้มีลักษณะเป็น “การพนันที่แท้จริง” เนื่องจากผู้เล่นสามารถใช้ทักษะและไหวพริบเพิ่มโอกาสชนะได้ Poker จึงเป็นเกมแห่งทักษะที่อาศัยความน่าจะเป็นในการเล่น ต่างจาก Roulette ที่ทักษะของผู้เล่นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับผลลัพธ์ของเกมแม้แต่น้อย หลายคนเข้าใจว่า Poker เป็นการพนันที่ไม่มีทางจะกำไรได้อย่างต่อเนื่องในระยะยาว แต่หากผู้เล่นมีทักษะและความเข้าใจในเกมนี้มากพอ Poker จะเป็นหนึ่งในเกมที่ผู้เล่นสามารถชนะเจ้ามือและทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง
Trading
การเทรดหลักทรัพย์ มีลักษณะบางประการคล้ายกับการเล่น Poker ไม่ว่าจะเป็นการบริหารความเสี่ยง ผลลัพธ์ที่มีพื้นฐานบนความน่าจะเป็น และการใช้จิตวิทยาเพื่อเข้าใจอารมณ์ของนักลงทุน หลายคนเปรียบการเทรดว่าเป็นการพนันรูปแบบหนึ่ง เป็นการเลือกลงทุนที่ไม่อาจคาดเดาผลลัพธ์ที่แน่นนอนได้
สิ่งที่ทำให้ “การเทรด” ต่างจาก “การพนัน”โดยสิ้งเชิงคือข้อมูลจากตลาดที่นักลงทุนสามารถใช้ในการคาดการณ์การเคลื่อนที่ของราคาหลักทรัพย์บนหลักความน่าจะเป็นที่สูง ยกตัวอย่างเช่น
ราคา (Price)
ปริมาณการซื้อขาย (Volume)
จำนวนหุ้นที่นักลงทุนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ (Free Float)
ส่วนต่างราคาซื้อขาย (Spread)
ข้อมูลจากตลาดก็เปรียบได้กับการเล่น Poker ที่ผู้เล่นอื่นจะเปิดไพ่ให้ดู 1 ใบ เพราะข้อมูลจากตลาดเหล่านี้เป็นผลโดยตรงจากการซื้อขายบนความเชื่อของนักลงทุนรายใหญ่ที่มีความสามารถในการควบคุมราคาหลักทรัพย์
Charles H. Dow ผู้คิดค้นดัชนีดาวโจนส์ (DJIA) เป็นนักลงทุนรายแรกๆที่เลือกลงทุนบนพื้นฐานการวิเคราะห์ข้อมูลทางเทคนิค ได้คิดค้นทฤษฏีการอ่านตลาดที่มีชื่อว่า Dow Theory ชึ้น โดยมีใจความสำคัญว่า “ราคาตลาดสะท้อนข้อมูลทุกอย่าง” และ “ราคามีการเคลื่อนไหวที่เป็นแนวโน้ม” ดังนั้นหากนักลงทุนสามารถตีความข้อมูลเพื่อหาแนวโน้มตลาดได้อย่างถูกต้องก็สามารถลดความเสี่ยงและเพิ่มการทำกำไรบนแนวโน้มของราคาหลักทรัพย์ได้ การเทรดจึงเป็นศาสตร์แห่งการตีความข้อมูลเพื่อทำกำไร ไม่ใช่การเดาสุ่มทิศทางราคาหลักทรัพย์
อย่างไรก็ตามผู้คนมักมอง “การเทรด” เป็น “การพนันที่แท้จริง” เหมือน Roulette ทำให้มีทัศนคติแบบ “ได้กำไรก็โชคดี ขาดทุนก็โชคร้าย” จึงขาดวินัยในการตัดขาดทุน (แนวคิดประเภทไม่ขายไม่ขาดทุน) ปริมาณขาดทุนจึงยิ่งทวีคูณขึ้น และขาดโอกาสในการทำกำไรจากตลาด ซึ่งถ้าหากนักลงทุนหมั่นฝึกฝนทักษะและเรียนรู้วิธีในการตีความข้อมูลตลาดอย่างถูกต้องก็สามารถทำกำไรจากตลาดได้อย่างต่อเนื่อง ดังที่ Jesse Livermore นักลงทุนมืออาชีพได้กล่าวไว้ว่า “ในตลาดไม่มีอะไรใหม่ อะไรที่เคยเกิดขึ้นแล้วจะเกิดขึ้นอีก” การเทรดจึงไม่ใช่เรื่องของโชค หากแต่เป็นเรื่องของการเรียนรู้ การฝึกทักษะการวิเคราะห์ตลาด
ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดของนักลงทุนคือการยอมรับว่ากำไรขาดทุนนั้นคือผลลัพธ์จากทักษะและความสามารถในการวิเคราะห์ตลาดของนักลงทุนเอง โดยไม่โยนความผิดทั้งหมดไปที่ความผันผวนของตลาด นักลงทุนจึงต้องหมั่นเรียนรู้และฝึกฝนกลยุทธ์ในการวิเคราะห์แนวโน้มจากตลาดอยู่เสมอเพื่อพัฒนาทักษะในการลงทุนให้สูงขึ้นจนสามารถทำกำไรจากตลาดได้อย่างต่อเนื่องในระยะยาว
ธวัชชัย ชนะเศรษฐกุล
เทรดเดอร์อิสระ